วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีปฏิบัติบูชาต่อพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ


     การบูชาพระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุมีผลานิสงส์มากมาย อาจทำให้สำเร็จประโยชน์และสมบูรณ์ พูนสุขด้วยลาภผลทั้งในชาตินี้ชาติหน้า
     ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่เคยบูชา ไม่มีความศรัทธาย่อมไม่สามารถจะรู้ได้ ผลานิสงฆ์นี้จะเกิดปรากฏก็เฉพาะผู้ที่มีความเลื่อมใสและการสักการบูชาโดยสุจริต พุทธบารมีธรรมบารมี และสังฆบารมี ย่อมคุ้มคุ้มครองรักษาผู้กราบไว้เคารพบูชทาให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสาร สมบัติยิงๆขึ้นไป
   พระบรมสารีริกธาตุรู้  มีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระบารมีของพระพุทธองค์ ที่มีเทพยดาผู้ดูแลรักษา สามารถเสด็จมาได้ตามคำอธิฐาน และอาจเสด็จหนีไปถ้าปฏิบัติตนไม่ถูกต้อมตามทำนองครองธรรม ดังนั้น จึงมีิอิทธิปราฏิหารย์เหนือวัตถุมงคลอื่นใด จึงควรปฏิบัติด้วยความระมัดระวังและสำรวมด้วย กาย วาจา และใจ

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีบูชา

วิธีบูชาพระสารีริกธาตุที่เสด็จ ณ วัดปันเสา


พระอาจารย์มหาอาวรณ์ ได้ให้การแนะนำสำหรับผู้ที่ได้รับพระสารีริกธาตุ ที่เสด็จมา ณ สถานที่วัดปันเสาแห่งนี้ถึงวิธีการบูชาในพิธีของท่านให้ได้รับทราบว่า
     "เมื่อเข้าได้รับพระบรมสารีริกธาตุไปแล้วจะแนะนำให้นำพระบรมสารีริกธาตุ ไปใส่ไว้ในผอบหรือในมี่สมควร ก่อนที่จะนำไปบรรจุในผอบหรือเจดีย์เล็กๆ ให้นำไปทำความสะอาดด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย แล้วนำไปใส่ผอบแล้วนำเครื่องมงคลนั้นนำไปไว้ในที่สูงหรือหิ้งพระในสถานที่สมควร แล้วให้บูชาด้วยดอกไม้สีขาว (ดอกบัวสีขาว) แล้วให้ทำวัตรไว้พระสวดมนต์ ถวายน้ำบริสุทธิ์ให้ท่านบ่อยๆ"
     นี่เป็นวิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาเองที่ได้รับจากวัดปันเสาในขณะที่ พระอาจารย์มาหถาวรณ์รกน้ำพุทธมนต์ให้ เป็นข้อแนะนำจากพระอาจารย์มหาถาวรณ์ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับไปบูชานำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง
     เป็นพุทธปาฏิหาริย์ที่จักเกิดขึ้นแก่ผู้น้อมถึงด้วยศรัทธา


คำไหว้สวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุวัดปันเสา


          (นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ ครั้ง)
    อิติปิโส ภะคะวา, นะมามิหัง ตัง ภะคะวันตัง, ปะระมะสารีริกธาตุยา สัทธิง, 
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชาจาระณะสัมปันโน, สุคะโต, โลกะวิทู, อนุตตะโร ปุริสะทัมมมะสาระถิ
 สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ, ภะคะวาติ.







วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ประวัติพระมหาอาวรณ์

ประวัติพระมหาอาวรณ์ ภูริปญโญ 


   พระมหาอาวรณ์ ภูริปญโญ นามเดิมชื่อ อาวรณ์ ชัยประสิทธิ์ ตอนที่แม่ท่านท้องได้ ๓ เดือน พ่อท่านทำงานที่เหมืองแร่ที่ดอยหมอก พ่อของท่านทำงานบ่อแร่ บ่อแร่ได้ถล่มลงมาทำให้ พ่อของท่านเสียชีวิตที่ดอยหมอกโดยไม่ได้ศพกลับมาทำบุญที่เกิด
   ส่วนแม่เมื่อทราบข่าวก็เสียใจ และตัดสินใจทำแท้ง แอบให้หมอตำแยทำแท้ง ย่าของท่านทราบและไปคุยกับหมอตำแยว่าอย่าได้ทำอีกเลยจะขอเลี้ยงเอง หมอตำแยบอกว่าโอกาสที่เด็กน้อยคนนี้จะครบสามสิบสองคงยาก ย่าบอกว่าถึงจะพิการก็จะเลี้ยงเอง แล้วก็เรียนลูกสะไภ้มาขอร้องไห้รักษาหลานเอาไว้ หากคลอดแล้วจะเลี้ยงเอง
   เด็กน้อย ๘ เดือนก็คลอด ในวันที่คลอดออกมาฟ้าฝนได้ตกลงมาสร้างความชุ่มชื่นให้กับแผ่นดิน หลังจากที่คลอดแล้วแม่ก็ได้ตายด้วยอาการตกเลือดอย่างรุนแรง
   ย่าจึงตั้งชื่อให้ว่า อาวรณ์ แปลว่า ความอาลัย ความห่วงหา นับตั้งแต่นั้นมาย่าก็ต้มข้าวบดกับกล้วยเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ด้วยความลำบาก และเด็กน้อยคนนี้ขี้โรค มีโรคประจำตัวหลายโรคด้วยกัน เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต และอีกหลายๆโรค ด้วยกัน แต่ย่าอุตส่าเลี้ยงด้วยเมตตาตลอดมา
   เมื่ออายุครบเข้าโรงเรียนก็ให้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนประจำอำเภอ ที่เวียงป่าเป้า เด็กน้อยคนนี้เป็นคนที่มีอุปนิสัยอ่อนโยน ในยามใดที่ปู่ย่า นำปลา หรือสัตว์ใดๆมาขังไว้เพื่อจะทำอาห่ร เด็กน้อยมักจะเป็นคนแอบปล่อยเสมอ และมักจะนำดินมาเล่นปั้นเป็นพระพุทธรูปเป็นประจำ ไม่เคยฆ่าสัตว์มาตั้งแต่สมันเด็กๆ พอถึง ป.๔ ก็ขอปู่กับย่าไปอยู่กับตุ๊อุ้ยที่วัด และได้สวดมนต์ทำวัตรกับตุ๊อุ้ย จนสามารถได้ไม่แพ้สามเณรทั้งหลายเลย
   เมื่อจบ ป.๖ ก็ได้เข้าบวชในร่มกาสาวพัตร สามเณรน้อยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบนักธรรมเอก และได้ไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงปู่ทอง (สมัยนั้นท่านอยู่ที่วัดร่ำเปิงตโทาราม) จนกระทั่งจบความรู้ หลวงปู่ทองได้ส่งเณรน้อยให้ไปเรียนบาลีที่วัดป่างิ้ว โดยมีเจ้าคุณทรัพย์ นรินโทเป็นผู้อบรบสั่งสอน จนกระทั่งได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค เจ้าคุณมหาทรัพย์ ได้เรียนจบปริญญาตรีที่มหาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
   จากนั้นได้รับการมอบหมายจากพระสงฆ์ให้มาพัฒนาฟื้นฟูวัดปันเสา ท่านเป็นพระนักเทศน์นักเผยแผ่ และเมตตาธรรมสูงมาก เป็นที่เคารพนับถือของศรัทธาประชาชนโดยทั่วไปและเป็นที่ทรายทั่วไปว่า ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปในสถานที่แห่งใด มักจะมีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จตามท่านเสมอ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหัตธาตุรวมทั้งธาตุ อื่นๆ ที่ตกลงมาจากตัวท่านมักจะมีรูปพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันไป หากผู้ใดมีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ไประดิษฐานที่บ้าน และสักการบูชาอย่างถูกต้อง ก็จะพบกับเหตุอัศจรรย์ในชีวิตอย่างประหลาด และสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่ดีงามเสมอ

ประวัติวัดปันเสา

ประวัติวัดปันเสา


     วัดปันเสา แต่เดิมชื่อ วัดปันเส่า หรือ พันเส่า (คำว่า เส่า เป็นภาษาล้านนา หมายถึงเตาสำหรับหลอมโลหะ คำว่า ปัน เป็นการนับจำนวนของชาวล้านนา หมายถึง จำนวน ๑,ooo) ตามประวัติศาสตร์ที่พบจากจารึกต่างๆ พบว่า วัดปันเสา เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย โดยเริ่มก่อสร้างในรัชสมัยของพญาผายูถึงรัชสมัยของพญากือนา โดยได้สร้างองค์เจดีย์ขึ้นองค์หนึ่งเป็นเจดีย์ขนาดเล็กไม่ใหญ่นัก ต่อมาในสมัยของพญาเมืองแก้ว ทรงมีความดำริที่จะหล่อพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อ จึงมีบัญชาให้กับนายทหารที่มีฝีมือทางการช่างชื่อปู่ด้ง ได้ไปเสาะหาสถานที่สำหรับหล่อพระพุทธรูป ปู่ด้งจึงเสาะหาตามบัญชา และพบว่าด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ มีชัยภูมิที่มีความเหมาะสมและเป็นมงคลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำไหลผ่านซึ่งเป็นน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกห้วยแก้ว ไหลลงสู่คูเมืองเชียงใหม่ (แต่เิดิมไหลผ่านกลางวัดปันเสา ปัจุบันได้แห้งไปหมดแล้ว) พญาเมืองแก้ว จึงได้ให้นายช่างทอง ทำการก่อเตาเส่า (เตาหลอมโลหะ) ในบริเวณนี้ จำนวน ๑,ooo เตา แล้วหลอมโลหะหล่อพระพุทธรูปเป็น ๙ ท่อนและการได้ทำการเคลื่อนย้ายจากบริเวณนี้ ไปประกอบเป็นองค์พระพุทธรูปที่อุทยานบุพผาราม (วัดสวนดอกในปัจจุบัน) และสถาปนาชื่อพระพุทธรูปว่า พระพุทธรูปเก้าตื้อ (คำว่าตื้อ หมายถึง ท่อน คือ พระมีจำนวน ๙ ท่อน หรือ ๙ ส่วน) บางแห่งเขียนบอกว่าเป็นจำนวนนับน้ำหนักของคนล้านนาโบราณ (ตื้อ เท่ากับ สิบ โกฏิ)


     หลังจากนั้นพญาเมืองแก้ว ก็มีบัญชาสั่งให้นายช่างทำการลื้อเตาเส่าทั้งหมด และได้ก้อนอิฐเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการบูรณะองค์เจดีย์เดิมของวัด ซึ่งใช้วิธีการสร้างเจดีย์ครอบเจดีย์เดิมอีกชั้นหนึ่ง มีลักษณะเป็นศิลปะล้านนาผสมสุโขทัย และล้านช้าง และได้สถาปนาชื่อวัดว่า "วัดเจดีย์ปันเสา" วัดเจดีย์ปันเส่าถูกเผาเสียหายทั้งหมด เนื่องจากเสนาสนะทั้งหมดของวัดสร้างด้วยไม้สัก คงเหลือแต่องค์เจดีย์เท่านั้นที่ไม่ถูกทำลาย แต่ก็ได้รับความเสียหายเป้นอย่างมาก ต่อมาก็มีมารศาสนาได้ลักขุดหาสมบัติภายในองค์เจดีย์ไปจนหมด และร้างนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และคงเหลือแต่องค์เจดีย์ปันเสาเพียงองค์เดียวที่เป็นโบราณสถานระบุว่าเคยเป็นบริเวณวัดในอดีต